ญาติฝ่ายหญิงที่หนีคู่หมั้นไปแต่งงานออกมาแฉ

ญาติฝ่ายหญิงที่หนีคู่หมั้นไปแต่งงานออกมาแฉ

ญาติฝ่ายหญิงที่หนีคู่หมั้นไปแต่งงานออกมาแฉ ฝ่ายชายทิ้งผู้หญิงก่อนที่จะฝ่ายหญิงจะไปแต่งงาน

 กลายเป็นสงครามของสองครอบครัว เมื่อก่อนหน้านี้มีผู้ชายคนหนึ่งออกมาโพสต์เล่าเรื่องราวของตนเองที่ถุกคู่หมั้นสาวที่อยู่ด้วยกันแล้ว หนีไปแต่งงานโดยที่ไม่บอกกล่าว ก่อนที่หลังจากแต่งงานเสร็จแล้วฝ่ายหญิงถึงได้โทรมาขอเลิกซึ่งฝ่ายชายเองก็ได้ทราบมาว่าที่ฝ่ายหญิงขอเลิกเพราะไปแต่งงานกับคนอื่น และเมื่อมีการทวงเงินงานหมั้นคืน ทางครอบครัวฝ่ายหญิงกลับไม่ยอมให้และมีเรืองฟ้องร้องกันอยู่นั้น ญาติฝ่ายหญิงที่หนีคู่หมั้นไปแต่งงานออกมาแฉ ข้อเท็จจริงแล้ว

ก่อนหน้านั้นนักข่าวได้ไปขอสัมภาษณ์ฝ่ายหญิง แต่ผู้หญิงและพ่อกับแม่ไม่พร้อมเป็นข่าวจึงได้ปิดตัวเงียบ  วันนี้ทางญาติของฝ่ายหญิงต้องการออกมาพูดในมุมของตัวเองเพื่อเป็นการแก้ข่าวให้ฝ่ายหญิงบ้างโดยมีการเล่าว่า ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงได้คบกันและอยู่ด้วยกันเหมือนสามีภรรยาจริงรวมถึงมีการจัดงานหมั้นหมายกันจริง ซึ่งฝ่ายชายเป็นคนที่ไม่ยอมทำงานทำการเอาแต่ขอเงินฝ่ายหญิงใช้ จึงได้มาอยู่ที่บ้านของผู้หญิง และอยู่ดีดีเมื่อต้นปีที่ผ่านมาผู้ชายก็เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านของผู้หญิงมาโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย และไม่ได้ติดต่อฝ่ายผู้หญิงมาเป็นเดือนแล้ว ทำให้ผู้หญิงเข้าใจว่าผู้ชายได้เลิกกับตนเองแล้ว

จึงได้ไปแต่งงานกับคนอื่น ซึ่งไม่ได้หลอกผู้ชายเลย เพราะเข้าใจว่าผู้ชายเลิกกับตัวเองแล้วเพราะติดต่อไม่ได้ และเงินหมั้นที่ไม่ยอมคืนนั้นเพราะเป็นการหักเงินค่าใช้จ่ายที่ตอนที่ฝ่ายชายมาอาศํยอยู่ด้วยได้ใช้เงินของฝ่ายหญิงไป ซึ่งเรื่องราวนี้อาจจะต้องรอให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายออกมาพูดพร้อมกัน

แต่จากที่ฟังเรื่องราวจากญาติของผู้หญิงนั้น ถึงแม้จะเป็นการเข้าใจผิดคิดว่าผู้ชายทิ้งไปแล้วจึงไปแต่งงานใหม่ก็เถอะ แต่ก็ควรจะคืนเงินค่าสินสอดทองหมั้นที่รับของเขาเอาไว้แล้ว  ด้วยตนเองก็แต่งงานไปแล้ว เพราะตอนที่อยู่ด้วยกันคาดว่าเงินนั้นก็เป็นเงินที่หาใช้ร่วมกันมากกว่า หรือหากอยากจะหักเงินก็ควรจะคืนผู้ชายบ้างบางส่วนไม่ควรเอาเงินผู้ใช้ไว้ทั้งหมด

เพราะจะเห็นได้ว่าขาดการติดต่อกับฝ่ายชายแค่เพียงไม่กี่วันก็แต่งงานใหม่แล้วแสดงว่าอาจจะมีการแอบคบกับอีกคนมาแล้วนานพอสมควร ไม่เช่นนั้นเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนคงไม่สามารถทำให้ฝ่ายหญิงตัดสินใจแต่งงานใหม่ได้รวดเร็วขนาดนี้ ซึ่ง่เรื่องนี้คงต้องรอให้ผู้หญิงออกมาพูดและหากอยากให้เรื่องจบไม่ต้องเป็นที่จับตามองของคนในสังคมก็ควรจะคืนเงินให้ผู้ชายไปซะดีกว่าไปทะเลาะกันบนศาลให้เป็นที่อับอายคนอื่น

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เล่นบาคาร่าให้ได้เงิน

เผย 10 สโมสรมูลค่าขุมกำลังรวมมากที่สุดในโลก

สโมสรมูลค่าขุมกำลังรวมมากที่สุดในโลก

ได้มีการเปิดเผยถึง 10 สโมสรมูลค่าขุมกำลังรวมมากที่สุดในโลก โดยผลปรากฏว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ครองมูลค่าขุมกำลังรวมชุดปัจจุบันสูงที่สุดในโลก แม้จะไม่ได้เซ็นสัญญานักเตะเข้ามาในเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ตาม แต่ด้วยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่พวกเขามักจะดูดสตาร์ดังเข้าทีมหลายรายก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักว่าทำไมพวกเขาถึงมีสถิติดังกล่าว

 

แต่ที่อัพเดตใหม่ล่าสุดก็คงจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ขยับขึ้นมาติดท็อป 10 หลังจากที่พวกเขาเซ็นสัญญาคว้าตัว บรูโน่ แฟร์นานเดส มิดฟิลด์จอมทัพทีมชาติโปรตุเกสมาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 55 ล้านปอนด์ เมื่อตลาดซื้อขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีมูลค่านักเตะรวม 720.78 ล้านปอนด์

 

ทีมดังที่หลุดจากวงโคจรไปกลายเป็น ยูเวนตุส แม้ว่าพวกจะทุ่มเงินซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ประมาณ 100 ล้านปอนด์เมื่อปี 2018 และการมีดาวดังอย่าง เปาโล ดีบาล่า, กอนซาโล่ อิกวาอิน และ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ แต่พวกเขาต้องหลุ่นไปอยู่อันดับ 11 โดยมูลค่ารวมขุมกำลังอยู่ที่ประมาณ 686.25 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้ไม่มีทีมจากประเทศอิตาลี ติด 1 ใน 10 เลย

 

มีหลายสโมสรจากพรีเมียร์ลีกที่ติดโผ 1 ใน 10 โดยอันดับ 1 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีมูลค่าขุมกำลังรวมมากถึง 1.16 พันล้านปอนด์เลยทีเดียว ตามมาด้วย ลิเวอร์พูล ที่มีมูลค่านักเตะรวมทั้งหมด 1.07 พันล้านปอนด์ ขณะที่สองสโมสรยักษ์ใหญ่จากลา ลีกา อย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า รั้งอันดับ 3 กับ 4 ตามลำดับ

ทำเนียบ 10 อันดับ สโมสรมูลค่าขุมกำลังรวมมากที่สุดในโลก ชุดปัจจุบัน มีดังนี้ :

1.แมนเชสเตอร์ ซิตี้ = 1.16 พันล้านปอนด์
2. ลิเวอร์พูล = 1.07 พันล้านปอนด์
3. เรอัล มาดริด = 968.50 ล้านปอนด์
4. บาร์เซโลน่า = 952.05 ล้านปอนด์
5. ปารีส แซงต์-แชร์กแมง = 910.62 ล้านปอนด์
6. บาเยิร์น มิวนิค = 823.64 ล้านปอนด์
7. ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ = 801.27 ล้านปอนด์
8. แอตเลติโก มาดริด = 777.15 ล้านปอนด์
9. เชลซี = 760.55 ล้านปอนด์
10. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด = 720.68 ล้านปอนด์

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย วิธีเล่นบาคาร่าให้รวย

มาทำความรู้จักกับ ไวรัสโคโรน่า กันเถอะ

ไวรัสโคโรน่า

หลายคนคงจะสงสัยว่าโรค ไวรัสโคโรน่า มีต้นเหตุมาจากที่ไหน

และมีเชื่อ ไวรัสโคโรน่า เข้ามาได้อย่างไรซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าโรคไวรัสโคโรน่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนโดยกดขึ้นครั้งแรกที่เมืองกูฮั่น ส่วนสาเหตุที่ทำให้มีเชื่อไวรัสชนิดนี้นั้นมีสาเหตุมาจากการกินอาหารที่พิสดารของคนจีนซึ่งในครั้งนี้เชื้อไวรัสโคโรน่ามีสาเหตุติดมาจากคนที่กินซุปค้างคาวโดยวิธีการติด ไวรัสชนิดนี้จะติดกันจากระบบการหายใจดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเสียไวรัสชนิดนี้จะมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและจะมีผู้ติดเชื้อจากหลายประเทศมากมาย

มารวมกันเพราะเราเองไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรานั่งรถดูร่วมกับเราl นั่งรถไฟฟ้าร่วมกับเราเค้าเป็นโรคชนิดนี้หรือไม่เพราะเชื้อไวรัสโคน่าหากใครที่มีชื่อนี้แล้วจะมีอาการไข้ขึ้นสูงรวมถึงจะมีอาการเหมือนคนเป็นหวัดปกติแต่ใครจะไม่ลดลงซึ่งการรักษา

ณปัจจุบันยังไม่มียาที่จะสามารถรักษาโลกนี้ได้

เราจึงรักสาโรคนี้ตามอาการที่เป็นอยู่และถึงแม้ว่าโลกนี้จะเกิดขึ้นที่จีนแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าการแพร่เชื้อจะเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอนนั่นก็เพราะว่า ชาวจีนที่อยู่ในเมืองโอฮั่นได้เดินทางออกมาจากประเทศจีนและเข้าสู่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้วซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าจริงคนไหนที่มีเชื้อโรคไวรัสโคโรน่าอยู่บ้างในขนาดนี้เชื่อไวรัสชนิดนี้ ได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วยซึ่งคาดว่าการระบาดจะเหมือนกับการระหว่างช่วงที่เป็นไข้หวัดใหญ่

ซึ่งในตอนนั้นที่โรคใครหวัดใหญ่ระบาดหนัก ทำให้มีคนฆ่าตัวตายมากขึ้น

ใช้เวลาเพียงแค่หกเดือนก็สามารถติดเชื้อผลิตใหญ่ กระจายไปทั่วทุกมุมโลกได้และถึงแม้ทางประเทศจีนจะมีการก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นอีกสองแห่งเพื่อรองรับคนที่ป่วยเป็นโรคนี้แต่นั่นก็เป็นเพียงการรักษาเฉพาะคนที่อยู่ในประเทศจีนเท่านั้นสำหรับคนจีนที่เดินทางมาประเทศไท ก็ยังคงรักษาโรคนี้กันเองตามปกติดังนั้นสิ่งที่เราจะช่วยกันป้องกันได้ไม่ให้คนในประเทศไทยต้องติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่านี้เราจึงจำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกัน

ไม่ให้มาเข้าสู่ร่างกายของคนไทยเราได้และไม่ให้เกิดการแพ้กระจายไปที่อื่นอีกด้วยซึ่งในตอนนี้ทุกคนในทุกประเทศควรจะร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้กับโรคไวรัสโคโรน่าเพื่อที่จะเป็นการลดการแพร่กระจายของโรคลดความหวัดกลัวของประชาชนลงรวมถึงหากใช้เวลาชนิดนี้มียารักษาให้หายขาดได้เชื่อว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวก็จะกลับมาตื่นตัวกันอีกครั้ง